Lilium's 15 Favorite Post-Rock Tracks of All Time หลังจากที่ได้ก้าวย่างเข้าสู่โลกของดนตรีโพสต์ร๊อคมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ได้ฟังงานของศิลปินจากหลากถิ่นฐานที่อาจจะแตกต่างกันออกไปในแง่ของรสนิยมและอุดมการณ์ทางดนตรี ได้ซึมซับสภาพบรรยากาศและแนวคิดอันล้ำลึกที่แต่ละศิลปินต้องการจะสื่อ ก็เริ่มจะมีความหลงใหลต่อดนตรีแขนงนี้แบบถอนตัวขึ้นได้ยากเสียแล้ว แน่นอนว่าในจำนวนบทเพลงแนวโพสต์ร๊อคที่เคยฟังมานั้นก็มีเพลงที่ทำให้ผู้เขียนต้องเคลิบเคลิ้มและตื่นตะลึงมากมาย แต่ก็พอจะสรุปบทเพลงสุดรักในสายนี้ที่สามารถสร้างจินตนาการ เค้นอารมณ์ความรู้สึก และทำให้อินได้ในทุกครั้งที่เปิดฟังออกมาได้ราวๆ 15 เพลงด้วยกัน (ไม่มากไม่น้อยเกินไป กำลังดี) ซึ่งจะมีเพลงอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยดีกว่าครับ (ทั้งหมดเขียนขึ้นตามลำดับก่อน-หลังที่นึกได้เท่านั้น ไม่มีการเรียงลำดับความประทับใจใดๆทั้งสิ้น)
1. Godpeed You! Black Emperor - Moya (from Slow Riot for New Zero Kanada EP - 1999) "Moya" คือชื่อเพลงที่ตั้งขึ้นเพื่อสดุดี Mike Moya หนึ่งในแกนนำผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นมันสมองให้กับวงโพสต์ร๊อคระดับบุกเบิกวงนี้ (แบบเดียวกับที่ Miles Davis ตั้งชื่อเพลงว่า John McLaughlin เพื่อเป็นเกียรติให้กับลูกวงตัวเอง) ซึ่งทั้งตัว Moya วง GYBE ก็มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลและโลกทุนนิยมสมัยใหม่มาตั้งแต่เริ่มก็ตั้งวง นั่นทำให้บทเพลงของ GYBE สามารถตีความไปถึงนัยยะแห่งการประท้วงได้อีกด้วย ช่วงครึ่งแรกของเพลงนี้เป็นการบรรเลงสไตล์แอมเบียนท์ที่มีการวางเลเยอร์เครื่องดนตรีหลากหลายทั้งเสียงกีตาร์โดรน เบสพ่้วงเอฟเฟคต์ ไวโอลิน เชลโล และเทปลูป ซ้อนทับกันอย่างประณีตสร้างบรรยากาศหดหู่สิ้นหวังราวกับต้องการป่าวประกาศความกดดันต่อสังคมที่มีแต่การแข่งขันให้โลกได้รู้ ก่อนจะมาถึงช่วงครึ่งหลังของเพลงที่เป็นโพสต์ร๊อคจังหวะเชื่องช้าโดยมีกีตาร์เล่นคลอไปกับเสียงเครื่องสายด้วยท่วงทำนองหมองเศร้าเคล้ารอยน้ำตาที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ฟังไปอีกนานเท่านาน
2. Mono - Burial at Sea (from Hymn to the Immortal Wind - 2009)บทเพลงที่สองจากอัลบั้มมหากาพย์ Hymn to the Immortal Wind อันยิ่งใหญ่ที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์เศร้ากรีดร้าวรานหัวใจแทบจะทั้งอัลบั้ม แต่แทร๊คนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษตรงจังหวะดนตรีที่คลึงเคล้านวดนาดด้วยเสียงทิมปานีทุ้มลึกคลอไปกับกำแพงกีตาร์แน่นหนาอันเกิดจากการขยี้สายอันเป็นเอกลักษณ์ เล่นเมโลดี้ขมขื่นชวนให้จินตนาการถึงหายนะและความสิ้นหวัง คลอไปกับเสียงจากออเคสตร้าวงใหญ่ที่คอยเล่นเป็นแบ๊คกราวด์เสริมอารมณ์แบบซาวนด์แทร๊คชั้นดี ไม่เด่นเกินไปจนออกนอกหน้า ในขณะที่ฟังเพลงนี้ผู้เขียนมักจะเห็นมโนภาพของเหล่าซามูไรควบม้าอย่างสง่างามไปบนเนินเขา ยาตราทัพเข้าสู่สมรภูมิสงครามที่มีแต่ความตายและกลิ่นคาวเลือดอันชวนโศกศัลย์อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะไประเบิดความรุนแรงช่วงท้ายเพลงที่ราวกับเป็นการโหมปะทะกันอย่างหนักหน่วงระหว่างเหล่านักรบผู้หาญกล้าและข้าศึกที่หิวกระหายเลือด ทิ้งท้ายด้วยเสียงฟีดแบ๊คกีตาร์อื้ออึงยาวนานที่สื่อถึงความเจ็บปวดทุกข์ระทมจากสมรภูมิที่ถึงแม้จะมีผู้ชนะ แต่เขาผู้นั้นก็มิอาจลบตราบาปจากการห้ำหั่นสายเลือดมนุษย์ด้วยกันได้ แม้จะเอาความเจ็บช้ำนั้นไปฝังลง ณ ห้วงลึกของทะเลดั่งชื่อเพลงก็ตาม
3. God is an Astronaut - Forever Lost (from All is Violent, All is Bright - 2003)งานเพลงระดับเยี่ยมของวงโพสต์ร๊อคระดับตัวเอ้จากประเทศไอร์แลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวงดนตรีที่เล่นเพลงด้วยความละเมียดสวยงามมากมาย และ God is an Astronaut ก็ยังคงรักษาชื่อเสียงเหล่านั้นไว้ได้อย่างมั่นคง ดังจะเห็นได้จากเพลงที่ผู้เขียนเลือกมานี้ มันเป็นโพสต์ร๊อคจังหวะปานกลางที่มีความหนักแน่นในจังหวะจะโคน โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์ที่ทั้งหวานใสและล่องลอย รองพื้นด้วยซินธีไซเซอร์แน่นหนาให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน และในความฝันนั้นเราจะพบตัวเองกำลังวิ่งฝ่าสายหมอกไล่ตามแสงสว่างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งบางทีแข้งขาอาจจะเหนื่อยล้า แต่เราก็ยังมีความหวังและมีความสุขในการวิ่งต่อไปข้างหน้าอยู่ดี
4. Sigur Rós - Untitled # 8 (From ( ) - 2002)ในอัลบั้มเพลงชั้นดีหนึ่งอัลบั้ม หากนักดนตรีมีความต้องการที่จะให้ผู้ฟังได้รับความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจไม่รู้ลืมในการรับฟังสักครั้ง เพลงปิดอัลบั้มที่ืทรงพลังถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะดึงอารมณ์ของผู้ฟังให้เกิดความประทับใจค้างไว้เป็นเวลานานเลยทีเดียว ซึ่ง Sigur Ros ได้ทำสำหรับกับแทร๊คไร้ชื่อลำดับที่แปดจากอัลบั้มที่ไม่มีชื่อเช่นเดียวกัน เสน่ห์ของบทเพลงนี้อยู่ที่ความนิ่งเงียบที่ค่อยๆเรียงร้อยต่อยอดความรู้สึกไปเรื่อยๆจนไปถึงจุดไคลแมกซ์อันตื่นเต้นในช่วงท้ายสุด ครึ่งแรกของบทเพลงนี้คือความสงบเงียบจากดนตรีที่เล่นแบบเรียบง่ายเคล้าคลอไปกับเสียงร้องล่องลอยด้วยภาษา Hopelandic อันไร้ซึ่งคำแปลใดๆในการสื่อความหมาย ในช่วงครึ่งหลังของบทเพลงนั้นกลับกลายเป็นช่วงลุ้นระทึกอย่างแท้จริงด้วยจังหวะกลองที่ค่อยๆทุบอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น เสียงกีตาร์สอดประสานสร้างซาวนด์สเคปอันมืดหม่น เสียงร้องโหยหวนก้องกังวานที่แทรกเข้ามาในช่องว่างของมวลอากาศสร้างบรรยากาศชวนตื่นเต้นและอึดอัดในเวลาเดียวกัน ให้อารมณ์ราวกับซีเควนซ์ของหนังทริลเลอร์ชั้นดี ก่อนจะไปปลดปล่อยทุกอย่างที่จุดไคลแมกซ์ที่เหมือนทุกอย่างมันระเบิดออกมาอย่างรุนแรงไร้ทิศทางแต่งดงามเหนือคำบรรยายใดๆ นับเป็นการปิดอัลบั้มอันยิ่งใหญ่น่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมาในโลกแห่งเสียงดนตรีเลยทีเดียว
5. Exxasens - Polaris (from Beyond the Universe - 2009)ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นวงโพสต์ร๊อคทำดนตรีโดยมีธีมอ้างอิงถึงเรื่องราวของจักรวาลอันไกลโพ้นไร้ที่สิ้นสุด แต่นั่นกลับเป็นเรื่องราวที่วงดนตรีเล็กๆจากประเทศสเปนวงนี้ใช้เล่าผ่านเสียงดนตรีมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้ว Polaris เป็นแทร๊คที่เคยอยู่ในอัลบั้มแรกของวง แต่พวกเขาเอามันมาขัดเกลาใหม่ให้น่าฟังยิ่งขึ้นในอัลบั้มเต็มชุดที่สอง ซึ่งโครงสร้างโดยรวมของเพลงนี้จะเป็นโพสต์ร๊อคที่ค่อนข้างหนักหน่วงและพุ่งทะยานใกล้เคียงพวกโพสต์เมทัล โดยเฉพาะจังหวะกลองและเบสที่อุดช่องว่างสุญญากาศได้แน่นหนามากๆ โดยมีเสียงกีตาร์ผ่านเอฟเฟคเสียงก้องกังวานตัดกับริฟฟ์กีตาร์หนักหน่วงของบทเพลงได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ราวกับจะตั้งคำถามถึงความลึกลับของจักรวาลอันดำมืดน่าสะพรึงกลัว แต่ก็ท้่าทายเราให้ขึ้นไปพิสูจน์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
6. The Evpatoria Report - Taijin Kyofusho (from Golevka -2005)ในตอนแรกที่เห็นชื่อเพลงนี้ก็พาลนึกไปว่าวงนี้เป็นวงจากแดนปลาดิบเสียอีก (แต่ก็ไม่รู้นะหรอกว่ามันแปลว่าอะไร) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว The Evpatoria Report เป็นวงหกชิ้นส่งตรงมาจาำกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บทเพลงนี้เป็นเพลงความยาว 11 นาทีที่ทำให้ขนลุกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง เริ่มด้วยเสียงกีตาร์เล่นโน้ตน้อยตัวให้บรรยากาศสงบเงียบและหมองเศร้าคลอไปกับเบสเรียบๆเป็นแบ๊คกราว ก่อนที่เสียงไวโอลินกรีดกรายจะแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศด้วยความรู้สึกเศร้าสะเทือน ตามมาด้วยจังหวะกลองเรียบง่ายแต่มันคงพร้อมด้วยกีตาร์ที่เริ่มขยี้สายเพื่อสร้างกำแพงเมโลดี้แบบที่วง Mono ทำจนเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว เสริมด้วยท่วงทำนองจากคีย์บอร์ดที่ถึงจะบางเบาแต่ก็เติมอารมณ์หมองหม่นได้ดี ซึ่งเมื่อทุกอย่างมาสอดประสานกันอย่างลงตัวได้ที่ดีแล้ว มันก็กลายเป็นบทเพลงโพสต์ร๊อคที่มีรายละเอียดแน่นหนาทีเดียว และแน่นอนว่าในช่วงท้่ายเพลงจะต้องมีการเร่งเร้าอารมณ์ด้วยกีตาร์เสียงแตก ดังสนั่นลั่นทุ่งทับเสียงกีตาร์อีกตัวที่เล่นกำแพงเมโลดี้ไว้แล้วพร้อมกับกลองที่หวดแบบสุดแรงเกิดทำให้อารมณ์ของผู้ฟังนั้นพุ่งทะยานไปจนถึงจุดสูงสุด ดังคำกล่าวจากท่านผู้หนึ่งว่า "Absolute Eargasm" นั่นเอง
7. pg.Lost - Gomez (from In Never Out - 2009)ปกติแล้วเราจะเห็นได้ยินโพสต์ร๊อคความยาวเหยียดที่มีการบิลด์อารมณ์ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงจุดไคลแม๊กซ์ในช่วงท้ายของเพลง แต่สำหรับวงจากสวีเดนอย่าง pg.Lost ในเพลงนี้พวกเขากลับทำตรงกันข้ามกันหมดเลย เริ่มจากช่วงแรกของเพลงที่เป็นอินโทรอ้อยอิ่งด้วยกีตาร์ใสๆความยาวไม่เท่าไร ก่อนจะระเบิดอารมณ์ทันทีด้วยจังหวะหลองเรียบง่ายแต่ฟาดอย่างรุนแรง พร้อมกับการขยี้สายกีตารด้วยความถี่ต่ำกว่าวงอย่าง Mono เล็กน้อย ทำให้เมโลดี้หมองเศร้านั้นถูกส่งผ่านออกมาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น อารมณ์ในช่วงนี้ของเพลงไม่ต่างไปจากการร้องไห้ฟูมฟายระบายความรู้สึกที่กดดันมาตลอดทั้งชีวิตออกมาในเวลาเดียวกัน ก่อนที่เสียงเปียโนอันอ่อนใหวจะแทรกผ่านเข้ามาในห้วงแห่งความเศร้าหมอง เหมือนกับพยายามจะปลอบโยนว่าทุกความทุกข์โศกย่อมมีจุดสิ้นสุด และจากนั้นดนตรีก็ผ่อนจังหวะลงด้วยความหนักหน่วงเท่าเดิมแต่จะช้าลงไปเรื่อยๆเหมือนเสียงสะอื้นไห้ยามที่น้ำตาใกล้จะเหือดแห้ง จังหวะดนตรีค่อยๆช้าลง ช้าลง....ช้าลงทุกที และหลังจากนั้นก็คือ....ความเงียบงัน
8. Thom Aj. Madson - Alone on the Hill (from II - 2009)มาที่งานดีๆฝีมือไทยทำกันบ้าง กับผลงานเดี่ยวของ Thom Aj. Madson หรือต้อม มือกีตาร์ฝีมือดีจากวงอัศจรรย์จักรวาลนั่นเอง โดยในระหว่างที่อยู่ในช่วงพักวง เขาก็ใช้เวลาช่วงนั้นในการทำงานเดี่ยวโดยเป็นงานตามรสนิยมตัวเองที่มีทั้งแอมเบียนท์ โพสต์ร๊อค และดนตรีทดลองแปลกๆรวมอยู่ในผลงานชุดเดียวกันได้อย่างกลมกลืน หันมามองในมุมของโพสต์ร๊อค อัลบั้มที่สองของเขาก็มีเพลงดีๆให้เราได้จดจำไม่น้อยทีเดียว แต่ที่ผู้เขียนได้ฟังแล้วตราตรึงใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็น Alone on the Hill โพสต์ร๊อคระดับเกรดเอที่ถึงแม้ในช่วงครึ่งแรกของเพลงจะดำเนินอย่างล่องลอยอ้อยอิ่งไม่ต่างไปจากบทเพลงแนวๆนี้อีกหลายร้อยพัน แต่สิ่งที่ทำให้เพลงนี้โดดเด่นเหนือใครก็คือช่วงหลังของเพลงที่เล่นเป็นร๊อคจังหวะรวดเร็วเกินกว่ามาตรฐานของเพลงแนวนี้ บวกกับเสียงคีย์บอร์ดแข็งกร้าวที่เล่นโน้ตบนไปมาบนเพาเวอร์คอร์ดหนักแน่นทำให้เพลงฟังดูทรงพลังราวกับลมหนาวที่ซัดกระหน่ำบนเทือกเขาอันเวิ้งว้างเลยทีเดียว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยเปียโนเหงาเศร้าที่เหมือนจะบอกว่าหากต้องอยู่อย่างอ้างว้างในความนิ่งงันต่อไปแบบนี้ มีสายลมแรงๆคอยกระหน่ำเป็นเพื่อนกายยังดีเสียกว่า
9. Silent Scenery - Lake of Weeden Deer (from When We Escape from the Moonlight - 2009)ผลงานโพสต์ร๊อคจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่างมาเลเซียนี่เอง แสดงให้เห็นว่้าเสน่ห์ของดนตรีแขนงนี้สามารถสร้างความหลงใหลให้กับผู้คนจากหลากถิ่นหลายฐานจริงๆ สำหรับเพลงนี้เป็นบทเพลงที่สดใสเรียบง่ายปราศจากดิสตอร์ชั่น นัยว่าคงได้อิทธิพลมาจากวงอย่าง Explosions in the Sky มาไม่น้อยเลย แต่ความโดดเด่นไม่มีใครเหมือนของเพลงนี้อยู่ที่ริฟฟ์กีตาร์ที่แต่งมาได้อารมณ์แบบเพลงพื้นเมืองมากๆ ให้ความรู้สึกถึงป่าฝน ทะเล แสงแดด และกลิ่นอายของลมเหนียวเหนาะหนะแบบเขตร้อนชื้นของเอเชียได้เลยทีเดียว นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำดนตรีสมัยใหม่ให้เข้ากับรากเหง้าถื่นฐานบ้านเกิดของตนได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติจริงๆ
10. Robin Guthrie - Some Sort of Paradise (from Carousel - 2009)เชื่อแน่ว่าหากนักฟังท่านใดที่ชื่นชอบหลงใหลในเสียงดนตรีแบบดรีมป๊อปที่นิยมกันในช่วงต้นยุค 90's ก็คงจะรู้จักคุ้นเคยกับวงดนตรีระดับหัวแถวของวงการอย่าง Cocteau Twins กันเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากที่แยกย้ายวงกันไปแล้ว มือกีตาร์และคนทำดนตรีหลักของวงอย่าง Robin Guthrie ก็หันไปทำดนตรีบรรเลงล่องลอยชวนฝันที่ฟังดูล้ำลึกกว่าวงเดิมของเขาเสียอีก ซึ่ง Some Sort of Paradise จากอัลบั้มล่าสุดของเขาก็เป็นตัวอย่างที่ดีของเพลงบรรเลงที่ลึก เยือกเย็น เปี่ยมไปด้วยซาวนด์สเคปนุ่มนวลละมุนหู แต่โทนโดยรวมยังค่อนข้างสว่างและเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบใจ ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากการเฝ้ามองการว่ายวนอย่างเชื่องช้าของเจ้าแมงกระพรุนตัวน้้อยภายใต้พื้นน้ำอันนิ่งงันตามภาพปกอัลบั้มเลยล่ะ
11. Atmosfear - Nagai II (from Atmosfear - 2007)แน่นอนว่าทุกอย่างมีขาวก็ต้องมีดำ มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีด้านหยินและด้านหยาง เฉกเช่นเดียวกับดนตรีโพสต์ร๊อคที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงาม ล่องลอย เปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่ในอีกด้านยังมีศิลปินโพสต์ร๊อคที่ทำดนตรีซีเีรียส มืดหม่นอนธกาล บีบเค้นอารมณ์อย่างถึงที่สุด อย่างเช่นบทเพลงของวงโพสต์ร๊อค/เอกซ์เพริเมนทัลจากแดนปลาดิบเพลงนี้ที่ขับเคลื่อนด้วยจังหวะกลองที่เล่นน้อยแต่สม่ำเสมอได้ฟีลแบบดนตรีทริปฮอป เสียงเบสเข้มข้น เสียงซินธิไซเซอร์เล่นอุดช่องว่างตลอดเพลงสร้างบรรยากาศมืดดำอันเป็นนิรันดร์ สอดแทรกด้วยกีตาร์ที่เล่นตอดนิดตอดหน่อยพอให้เคร่งเครียดตามปรัชญามินิมอล และจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดความยาวของเพลง ราวกับเป็นซาวนด์แทร๊คประกอบภาพมุมอับของเมืองหรือตรอกซอกซอยยามค่ำคืนอั ลึกลับไม่น่าไว้วางใจภายใต้แสงไฟภายนอกที่จะไม่มีวันดับลงจนกว่าแสงอาทิตย์แห่งวันใหม่จะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา
12. Kronos Quartet & Mogwai - Death is the Road to Awe (from OST. The Fountain - 2006)เพียงคำนิยมที่ว่า "Genius and Brilliance Combined Makes Perfection" คงจะอธิบายความสุดยอดของซาวนด์แทร๊คชิ้นนี้ได้มากเกินพอแล้ว เมื่อนักประพันธ์ฝีมือดีอย่าง Clint Mansell ได้เลือกทีมนักดนตรีระดับเต้ยอย่าง Kronos Quartet วงเครื่องสายเก่าแก่ที่ผ่านงานมานักต่อนัก กับ Mogwai วงโพสต์ร๊อคระดับหัวแถวมาทำงานร่วมกันได้อย่างเหนือชั้น ทั้งสองกลุ่มนักดนตรีบรรเลงบทเพลงที่เต็มไปด้วยความชอกช้ำเข้ากับตัวหนังที่ทั้งเศร้าและศิลป์ในเวลาเดียวกันได้อย่างทรงพลังเหนือคำบรรยาย โดยเฉพาะแทร๊คในช่วงไคลแมีกซ์ของหนังที่เป็นตัวอย่างอันเลอเลิศของการสอดประสานกันอย่างลงตัวที่สุดของความเศร้าร้าวรานกรีดหัวใจจากเครื่องสายและฝีมือการเร่งเร้าอารมณ์จากวงโพสต์ร๊อค ซึ่งถึงแม้จะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน ก็สามารถขนลุกไปกับความทรงพลังของบทเพลงนี้ได้ไม่ยากเลย
13. Explosions in the Sky - The Only Moment We were Alone (from The Earth is not a Cold Dead Place - 2003)เชื่อว่าเกือบ 100% ของคนที่ฟังโพสต์ร๊อคจะต้องเคยสดับงานของวงนี้มาบ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ด้วยความที่เป็นวงระดับเพชรน้ำเอกของวงการที่เป็นเสมือนผู้นำในการเล่นดนตรีโพสต์ร๊อคในสไตล์ที่สดใส เรียบง่าย เน้นที่ความไพเราะและโรแมนติกของบทเพลงเป็นหลัก ซึ่ง The Only Moment We Were Alone ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของบทเพลงโพสต์ร๊อคที่เรียบง่ายและลึกซึ้งในแง่ของอารมณ์ เพียงแค่ใช้กีตาร์ เบส และกลองเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเมโลดี้ใสๆจากกีตาร์คู่ที่สอดประสานกันอย่างงดงามเหมือนไม่มีวันจบสิ้น แต่ถึงแม้ว่าจะไพเราะงดงามแค่ใหนก็มิอาจซ่อนความรู้สึกถวิลหาที่ฝังลึกอยู่ในท่วงทำนองได้อยู่ดี เหมือนกัีบช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับคนที่เรารักเพียงลำพังด้วยความรู้สึกราวกับอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในจักรวาลอันกว้างใหญ่และเราอยากจะรั้งช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แม้มันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
14. Steven Wilson - Collecting Space (from Insurgentes - 2008)คงไม่เกินไปนักหากจะบอกว่าทุกๆสิ่งที่ชายชื่อ Steven Wilson ไปจับต้องนั้นล้วนแต่กลายเป็นทองไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำดนตรีแนวใหนหรือโชว์ฝีมือโปรดิวซ์ให้กับศิลปินผู้ใดก็ตาม และเมื่อใดที่พี่ตีฟคนนี้อยากจะลองทำเพลงโพสต์ร๊อค มันก็ต้องออกมาไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน สำหรับ Collecting Space เป็นเพลงโพสต์ร๊อคที่มีจังหวะจะโคนมั่นคงแบบเพลงของ God is an Astronaut แต่กลับฟังดูแปลกต่างออกไปเมื่อพี่ตีฟจัดการชวน Michiyo Yagi มาเล่นโคโตะเป็นเมโลดี้หลักของเพลงนี้ได้อย่างเหนือชั้นและฟังดูรื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเข้าท่อนโซโล่พี่ตีฟกับเล่นกีตาร์เป็นสำเนียงเอเชียตัดกับเสียงโคโตะที่เล่นเป็นเมโลดี้สากลซะอย่างนั้น ก่อนที่ทั้งสองเสีัยงจะเข้ามาสอดประสานกันอย่างกลมกลืนไปจนจบเพลงในที่สุด
15. Labradford - WR (from Mi Media Naranja - 1997)หากจะมองไปในจำนวนผู้บุกเบิกดนตรีแนวโพสต์ร๊อคด้วยกันแล้ว Labradford คงจะเป็นวงที่ทำงานออกมามีกลิ่นอายของแอมเบียนท์มากที่สุด ด้วยท่วงทำนองอันเบาบางและซาวนด์สเคปนิ่งสงบในแบบโดรน รวมไปถึงเสียงกีตาร์/คีย์บอร์ดเล่นย้ำตัวโน้ตสวยงามจำนวนน้อยตัวสื่ออิทธิพลของมินิมอลอย่างชัดเจน ซึ่ง WR คือบทเพลงที่ไพเราะสวยงามที่สุดจากอัลบั้มที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของวง นอกจากส่วนผสมต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีซาวนด์สังเคราะห์กระจุ๋มกระจิ๋มสไตล์กลิทช์เข้ามาช่วยเพิ่มความสงบสวยงามให้กับบทเพลงอีกด้วย งานแบบนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของทางวงมาตลอดจนกระทั่งแตกวงกันไป แต่กระนั้นสมาชิกหลักของวงอย่าง Mark Nelson ก็ยังคงสานต่ออุดมการณ์ทางดนตรีสไตล์เฉพาะตัวแบบนี้ต่อไปกับ Pan American ที่แม้จะออกแนวอีเลกทรอนิกส์มากกว่า แต่ก็ยังมีกลิ่นอายเดิมๆของ Labradford ให้ได้สัมผัสกันอยู่ดี
ติดตามหรือย้อนอ่านงานเขียนอื่นๆของผมได้ที่:
http://liliumination.exteen.com